ริคาร์โด้ เปเรย์ร่า ฟูลแบ็กตัวเก่งของเลสเตอร์ ซิตี้ เขามีชื่อเต็มว่า รีการ์ดู ดูมิงกุช บาร์บอซา ปึไรรา เกิดเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 1993 ที่เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส เปเรย์ร่า เขามีความสนใจในกีฬาฟุตบอลหลังจากที่เขาได้มีโอกาสดูการแข่งขันฟุตบอลผ่านทางทีวีที่บ้านพักของตัวเอง และหลังจากวันนั้นเขาก็เริ่มเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆ ในสนามฟุตบอลท้องถิ่นในบ้านเกิดของเขา
ในปี 2000 เมื่อเขามีอายุ 7 ขวบ เขาก็ได้รับความสนใจจากแมวมองของสโมสรเบนฟิก้า ที่ต้องการพาเข้าเขาไปพัฒนาฝีเท้ายังอคาเดมี่ของสโมสรเบนฟิก้า แต่กว่าที่พ่อกับแม่ของเขาจะยอมตกลงก็ในตอนที่ เปเรย์ร่า มีอายุ 8 ขวบ ในปี 2001 ในช่วงแรกของการเข้าไปในอคาเดมี่ของเบนฟิก้า เปเรย์ร่า มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการเรียนรู้ทักษะการเล่นฟุตบอล และพัฒนาฝีเท้าของตัวเองอย่างหนักหน่วง ด้วยความหวังว่าจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพในอนาคต และในการลงสนามครั้งแรกให้กับทีมเยาวชนของเบนฟิก้า เขาก็สามารถสร้างความประทับใจให้กับแฟนบอลเป็นอย่างมาก เขามีความสามารถและโดดเด่นเกินกว่าอายุของเขา และมีพัฒนาการที่ก้าวกระโดดมากกว่าเพื่อนในวัยเดียวกันเป็นอย่างมาก และเขาก็ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะตัวหลักให้กับทีมเยาวชนของเบนฟิก้าได้สำเร็จ
ในปี 2004 เปเรย์ร่า ก็ย้ายไปร่วมกับทีมเยาวชนของสโมสรสปอร์ติง ลิสบอน เนื่องจากเขาได้รับค่าตอบแทนที่มากกว่า ต่อมาในปี 2010 เปเรย์ร่า ในวัย 17 ปี เขาถูกปล่อยตัวออกจากทีม ทำให้ เปเรย์ร่า ในตอนนั้นรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก และต่อมาเขาก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงมุ่งมั่นที่จะกลายเป็นนักฟุตบอลอาชีพให้ได้ เขายังคงมุ่งมั่นตั้งใจในการฝึกซ้อมและพัฒนาฝีเท้าของตัวเอง
ในปี 2011 เขาได้รับการทาบทามให้เขาร่วมในทีมเยาวชนของวิตอเรีย กิมาเรส ทีมฟุตบอลในบ้านเกิดของเขา เขาให้เวลาในทีมเยาวชนของที่นั่นเพียงแค่ปีเดียว เปเรย์ร่า ก็พิสูจน์ตัวเองด้วยการก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ได้สำเร็จด้วยวัย 19 ปี เขาเริ่มต้นกับทีมชุดใหญ่ด้วยความยากลำบาก เนื่องจาก เปเรย์ร่า ไม่สามารถสร้างผลงานที่น่าประทับใจได้ ทำให้ในเวลาต่อมาเขาถูกส่งตัวให้ลงไปเล่นในทีมชุดบีของสโมสร แต่เขาก็ยังไม่หมดใจในความตั้งใจของเขา เปเรย์ร่า ยังคงมุ่งมั่นในการต่อสู้เพื่อเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของเขา เขาพยายามพัฒนาตัวเองให้มากขึ้น จนในที่สุดเขาก็ทำได้สำเร็จ เปเรย์ร่า สามารถพิสูจน์ตัวเองทำให้ได้รับความไว้วางใจจนได้ขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ได้ ก่อนที่จะกลายมาเป็นกำลังสำคัญในกับทีมในเวลาต่อมา
ในฤดูกาล 2012-2013 เปเรย์ร่า กลายเป็นส่วนสำคัญในเกมนัดชิงชนะเลิศในลีกโปรตุเกสในเกมที่พบกับเบนฟิกา เขาสามารถยิงประตูในระยะไกล จนสามารถพาทีมคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ
ในฤดูกาล 2013-2014 เปเรย์ร่า ย้ายมาร่วมทีมกับเอฟซี ปอร์โต ในวัย 20 ปี แต่เขาก็ไม่สามารถทำผลงานได้อย่างที่ตั้งใจไว้ ผลงานของเขากับเอฟซี ปอร์โตในช่วงแรกนั้นไม่ดีมากนัก เขาไม่สามารถสร้างสรรค์ผลงานในตำแหน่งฟูลแบ็กได้เช่นเดิม แต่ในเวลาเดียวกับเขากลับพัฒนาการเล่นในเกมรับของเขา ทำให้ เปาโล ฟานเซก้า ผู้จัดการทีมในตอนนั้นปรับเปลี่ยนตำแหน่งเขาจากเดิมเล่นในตำแหน่งฟูลแบ็กมาเล่นในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กแทน แต่ในเวลานั้นเขาก็ยังคงไม่มีโอกาสในการลงสนามเป็นตัวจริง
ในฤดูกาล 2015-2016 เขาตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมกับสโมสรนีซ ในลีกเอง ฝรั่งเศสด้วยสัญญายืมตัว เพื่อต้องการโอกาสในการลงสนามที่เพิ่มขึ้น เขายังคงเล่นในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก และเขาก็สามารถพัฒนาฝีเท้าของตัวเองได้มากขึ้น เขาใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่นในลีกเอง ของฝรั่งเศส เขาเล่นให้กับ นีซ อยู่ 2 ฤดูกาล ก่อนที่จะย้ายไปเล่นในพรีเมียร์ลีก อังกฤษกับสโมสรเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2018 ด้วยค่าตัว 25 ล้านยูโร
และการเข้าร่วมทีมกับเลสเตอร์ ซิตี้ เปเรย์ร่า ก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับต้นสังกัดใหม่ได้เป็นอย่างดี และทำให้ฟอร์มการเล่นของเขายอดเยี่ยมขึ้นมาอีกด้วย โดยในฤดูกาลแรกของการเข้าร่วมทีม เขาสามารถสร้างผลงานได้อย่างน่าประทับใจด้วยการช่วยทีมป้องกันในแนวรับจนจบฤดูกาลทำให้เลสเตอร์ ซิตี้ เสียไปเพียงแค่ 34 ประตูเท่านั้น เขากลายเป็นนักเตะที่มีสถิติการเข้าสกัดบอลมากที่สุดเป็นอันดับสี่ในพรีเมียร์ลีก และสามารถทำประตูไป 2 ประตู กับ 8 แอสซิสต์ และในฤดูกาลนั้นเขายังเป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรจากการโหวตของแฟนบอลและเพื่อนร่วมทีมอีกด้วย
ในฤดูกาล 2019-2020 เขาก็ยังคงเป็นกำลังสำคัญให้กับทีม ด้วยความแข็งแกร่งและความดุดันของเขาทำให้ช่วยพาทีมขึ้นมาเล่นในแชมเปียนลีกได้อีกครั้ง แต่ในฤดูกาลนั้นเขาก็ต้องพบกับความโชคร้ายเมื่อได้รับบาดเจ็บจนต้องพักรักษาตัวยาวตลอดทั้งฤดูกาลที่เหลืออยู่
ในฤดูกาล 2020-2021 เปเรย์ร่า หายจากอาการบาดเจ็บพร้อมกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง และกลับมาเป็นกำลังสำคัญให้กับเลสเตอร์ ซิตี้ต่อไป
สำหรับผลงานในทีมชาติ เขาเริ่มเล่นให้กับทีมชาติโปรตุเกสตั้งแต่ในปี 2011 ในรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี และเล่นให้กับทีมเยาวชนของทีมชาติโปรตุเกสเรื่อยมา จนในปี 2015 เขาถูกเรียกตัวให้ขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ของทีมชาติโปรตุเกส ในเกมที่พบกับทีมชาติรัสเซีย และในปี 2015 เขาอยู่ในผู้เล่นชุดชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี และสามารถคว้าตำแหน่งรองแชมป์มาได้ในรายการนั้น